ปัจจุบันนี้ ชาวพุทธส่วนใหญ่นิยมสวดมนต์ทั้งที่บ้าน ที่วัด ที่โรงเรียน ที่ทำงาน และในรถ บางคนมีศรัทธาช่วยกันเป็นเจ้าภาพจัดพิมพ์หนังสือสวดมนต์แจกตามที่ต่างๆ เพราะมีประสบการณ์และพบปาฏิหาริย์ทางใจจากการสวดมนต์เป็นประจำ
หากใครได้เคยไปนมัสการสังเวชนียสถาน 4 ตำบล ที่อินเดีย โดยเฉพาะที่พุทธคยา อันเป็นสถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า จะเห็นภาพของชาวพุทธทั้งชาวธิเบต อินเดีย ไทย จีน ญี่ปุ่น หรือแม้แต่ชาวตะวันตกพากันสวดมนต์ด้วยภาษาของตน ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ
แม้ว่าจะสวดคนละภาษาก็จริง ถึงอย่างนั้นเสียงก็ดังกังวานไปทั่ว
แต่เชื่อหรือไม่ว่า ไม่มีใครบ่นว่าหนวกหู หรือเกิดความไม่พอใจจากเสียงรบกวนกัน แต่ละคณะเมื่อมาถึงก็สวดด้วยภาษาของตน เป็นเสียงที่เปล่งออกมาจากพลังแห่งความศรัทธา เป็นเสียงที่มีพลังความศักดิ์สิทธิ์ ทำให้เกิดปีติขนลุกโดยไม่รู้ตัว ทำให้เกิดบรรยากาศอันอิ่มบุญและสุขใจอย่างบอกไม่ถูก
หรือแม้ขณะกำลัง นั่งรถเดินทางไปทัศนศึกษาสถานที่สำคัญ ชาวพุทธก็นิยมสวดมนต์ในรถไปด้วย เพื่อเป็นพุทธานุสสติในการไปเยือนถิ่นอินเดีย ซึ่งเป็นดินแดนพุทธภูมิ ที่สำคัญคือ เพื่อความปลอดภัยในการเดินทางด้วย
การ "สวด " เป็นกิริยาการท่องที่เป็นทำนองเป็นจังหวะ ส่วน "มนต์" คือคำสอนของพระพุทธเจ้า การสวดมนต์จึงเป็นการสรรเสริญคุณ และทบทวนคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งแน่นอนว่าย่อมได้ความสบายใจเกิดขึ้นด้วย
ในขณะกำลังสวดมนต์เราก็น้อมใจตามบทสวด พิจารณาความหมาย เข้าใจธรรมะในบทสวด ใจย่อมเกิดความปีติปราโมทย์ เมื่อใจเกิดปีติแล้ว กายย่อมสงบ ผู้มีกายสงบย่อมเกิดความสุข เมื่อมีความสุขทางใจ จิตย่อมตั้งมั่นเป็นสมาธิ เป็นหนทางแห่งการหลุดพ้น อาสวะกิเลสที่ยังไม่สิ้นย่อมถึงความสิ้นไป ย่อมได้บรรลุธรรมอันวิเศษที่ยังไม่ได้บรรลุ เป็นหนทางความหลุดพ้น
ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในวิมุตติสูตรว่า การฟังธรรม, การแสดงธรรม, การสวดสาธยายมนต์, การตรึกตรองใคร่ครวญธรรม และสมาธิภาวนา ธรรมทั้ง 5 ประการนี้ เป็นสาเหตุแห่งความหลุดพ้น
การสวดหรือการสาธยายด้วยวาจา ย่อมเป็นปัจจัยแห่งการสาธยายด้วยใจ คือทำให้จำได้ชำนาญ คล่องปาก การสาธยายด้วยใจย่อมเป็นปัจจัยแห่งการแทงตลอด
การสวดมนต์ภาวนา เป็นการเจริญอานาปานสติควบคู่ไปด้วย เป็นการฝึกลมหายใจให้ยาวและลึก ช่วยให้ได้รับพลัง หรือออกซิเจนเวลาหายใจเข้า ขณะที่สวดเปล่งเสียงออก เป็นการขจัดคาร์บอนไดออกไซด์ หรือมลพิษออกจากตัว ยิ่งสวดได้นานและเป็นจังหวะเท่าไหร่ ก็ยิ่งสามารถขับมลพิษออกไปได้มากเท่านั้น เรียกว่า เป็นการออกกำลังภายใน และช่วยให้จิตใจแน่วแน่มั่นคง มีความสงบสุข
จึงมีคำกล่าวว่า "สวดมนต์เป็นยาทา" คือทาแล้วก็ทะลุถึงใจเลยทีเดียว "ภาวนาเป็นยากิน" หมายถึง การทำสมาธิอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ใจสะอาดบริสุทธิ์ หยุดนิ่ง เป็นอาหารใจที่ดีที่สุด ดีกว่าการสวดมนต์ เพราะเมื่อใจสงบ หยุดนิ่ง ก็เกิดการเห็นและเข้าใจธรรมะได้ลึกซึ้ง เปรียบเสมือน "ยากิน" ซึ่งสามารถแก้ปวดได้ดีกว่ายาทา
อย่างไรก็ตาม ทั้งการสวดมนต์และการเจริญภาวนา ก็ควรทำทั้งสองอย่าง และควรทำเป็นประจำทุกวัน เหมือนการรับประทานอาหาร อย่างน้อยก็ 1 ครั้งก่อนเข้านอน เพราะจะได้หลับไปด้วยใจอันสงบ ตื่นขึ้นมาก็จะรู้สึกสดชื่น สบายใจ มีความคิดปลอดโปร่ง เบิกบานใจ
อนึ่งการสวดมนต์ย่อมเป็นการฝึกให้เราพูดแต่ความดี เมื่อเราสวดสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย ย่อมเป็นการพูดแต่ความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เมื่อเราทำเป็นประจำ เราเองก็จะได้รับแต่สิ่งดีๆ มาอยู่ในใจ เป็นสิริมงคลแก่ชีวิต
ก่อนสวดมนต์ที่บ้าน ที่วัด ที่โรงเรียน หรือที่ทำงาน หรือว่าในการเจริญพระพุทธมนต์ตามงานต่างๆ นิยมสวดบทชุมนุมเทวดา ที่เริ่มต้นด้วยคำว่า "ผะริตวานะ เมตตัง สะเมตตา ภะทันตา" หรือในสวดมนต์ 12 ตำนาน จะเริ่มด้วยคำว่า "สะมันตา จักกะวาเฬสุ" เป็นต้นไป เป็นบทสวดเพื่ออัญเชิญเทวดาที่สถิตอยู่ในสวรรค์ชั้นต่างๆ ทั้งเทวดาที่สถิตอยู่ที่ยอดภูเขา ในอากาศ ในวิมานก็ดี หรือภุมมเทวดาก็ดี รวมทั้งยักษ์ คนธรรพ์ และนาคที่อยู่ในน้ำและบนบก ให้มาประชุมกัน เพื่อฟังธรรมหรือฟังการสวดมนต์ เพราะเวลาอันพิเศษเช่นนี้ เป็นเวลาที่เทวดาทั้งหลายจะได้มีโอกาสฟังธรรม และสั่งสมบุญบารมีให้กับตัวเองยิ่งๆ ขึ้นไป เพราะเทวดาทั้งหลายก็ต้องการทำบุญ เพื่อจะได้อยู่ในสวรรค์นานๆ ไม่มีใครอยากลงมาเกิดเป็นมนุษย์ พบความทุกข์ยากลำบากอีก
แม้กระทั่ง ก่อนสวดมนต์ใกล้จะจบ เราก็สวดส่งเทวดา เรียกว่า "เทวะตาอุยโยชะนะคาถา" ซึ่งเริ่มต้นด้วยคำว่า "ทุกขัปปัตตา จะ นิททุกขา" หรือบางครั้งตัดไปสวดเฉพาะท่อนสุดท้ายว่า "สัพเพ พุทธา พะลัปปัตตา" เป็นต้นไป เป็นคาถาสวดเพื่อส่งเทวดากลับวิมาน หลังจากลงมาฟังเสียงสวดมนต์เป็นเวลาพอสมควรแล้ว เป็นธรรมเนียมว่าเมื่อเชิญมาแล้วต้องเชิญกลับไป มีความหมายเพื่อเป็นการแผ่เมตตาจิตไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลายให้หายทุกข์โศกโรค ภัย
จากนั้น จะเป็นการแนะนำเทวดาให้อนุโมทนาบุญกุศลที่เราได้บำเพ็ญมา ซึ่งก็รวมถึงบุญกุศลอันเกิดจากการสวดมนต์ของเราด้วย เพื่อเทวดาจะได้อานิสงส์ในบุญนั้น
จากนั้น เป็นการแนะนำเทวดาให้มีความศรัทธาในการทำบุญด้วยการให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา แล้วอัญเชิญเทวดากลับไปยังวิมานของตน
และ บทสุดท้ายเป็นการขออานุภาพของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลาย จงคุ้มครองรักษาผู้สวดและผู้ฟังทั้งหลายให้มีความสุข ปราศจากความทุกข์ใจ ปราศจากอันตรายทั้งปวง
การสวดมนต์ หรือการนำพระพุทธพจน์มาสวดสาธยาย จนเกิดอานุภาพในการต้านทาน ป้องกันอันตรายนั้น มีมาแล้วตั้งแต่สมัยพุทธกาล บางพระสูตรพระพุทธองค์ทรงสวดเอง บางพระสูตรทรงแนะนำให้พระสงฆ์สาวกสวด บางพระสูตรเทวดาเป็นผู้นำมาแสดง เช่น
มงคลสูตร ที่เริ่มต้นด้วยบทว่า "อะเสวะนา จะ พาลานัง" เป็นต้นไป เป็นบทสวดเกี่ยวกับมงคลชีวิต 38 ประการ ซึ่งเป็นหมวดธรรมที่สำคัญต่อชีวิตประจำวัน และหลักการปฏิบัติในทางพุทธศาสนา เรื่องมงคลชีวิตเป็นปัญหาโลกแตกมานาน เนื่องจากในสมัยนั้น มนุษย์ได้ตั้งปัญหาเสวนากันว่า "อะไรเป็นมงคล" แต่ก็ไม่มีใครสามารถตอบปัญหานี้ได้ เป็นเวลานานถึง 12 ปี ก่อให้เกิดความเดือดร้อนไปทั่ว เพราะความเห็นไม่ลงรอยกัน
ปัญหานี้มิได้ถกเถียงกันในหมู่มนุษย์เท่านั้น แม้เหล่าเทวดาก็ถกเถียงกัน จนหาข้อยุติไม่ได้ จึงพากันไปทูลถามพระอินทร์ (ท้าวสักกะ) ก็ไม่สามารถตอบได้ แต่ได้แนะนำให้ไปทูลถามพระพุทธเจ้า หมู่เทวดาทั้งหลายจึงลงมติเห็นชอบด้วยเสียงส่วนใหญ่ ส่งเทพบุตรองค์หนึ่งเป็นตัวแทนลงมาถามปัญหานี้กับพระพุทธเจ้า
ดึกสงัด ณ ราตรีหนึ่ง เทวดาได้เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ด้วยแสงสว่างรุ่งเรืองไปทั่ววัด ทูลถามปัญหามงคล พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่า "การไม่คบคนพาล คบบัณฑิต บูชาผู้ที่ควรบูชา เป็นมงคลอย่างสูงสุด" เป็นมงคลข้อแรก จนถึง มงคลข้อสุดท้าย คือ "ผู้ที่โลกธรรม (ลาภ-เสื่อมลาภ ยศ-เสื่อมยศ สรรเสริญ-นินทา สุข-ทุกข์) กระทบแล้วไม่หวั่นไหว จิตใจไม่มีความยินดีและยินร้าย ปราศจากความเศร้าหมอง เป็นจิตถึงความสุขอันวิเศษ เป็นมงคลอันสูงสุด"
พระสูตรนี้ เป็นพระสูตรหลักที่จะต้องสวดทุกครั้งในการสวดมนต์ที่บ้าน หรือในการเจริญพระพุทธมนต์ในงานพิธีต่างๆ เป็นบทที่เจ้าภาพผู้เป็นประธานจะต้องจุดเทียนที่บาตรน้ำมนต์
รัตนสูตร ปรากฏอยู่ในพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ ซึ่งเริ่มต้นสวดด้วยบทว่า "ยังกิญจิ วิตตัง" เป็นต้นไป เป็นบทสวดว่าด้วยอานุภาพพระรัตนตรัย สาเหตุเกิดจากเมืองเวสาลี เมืองหลวงของแคว้นวัชชี ซึ่งเคยเป็นเมืองที่มั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ แต่ประสบภัยพิบัติอย่างร้ายแรง เกิดวิกฤตข้าวยากหมากแพง ฝนแล้งไม่ตกตามฤดูกาล ผู้คนอดอยากล้มตายเป็นจำนวนมาก (ทุพภิกขภัย) เมื่อมีคนตายมาเผาแทบไม่ทัน กลายเป็นศพไร้ญาตินอนกราดเกลื่อนไปทั้งเมือง พวกอมนุษย์หรือภูตผีปีศาจได้กลิ่นซากศพ ก็พากันแห่เข้าสู่เมือง ทำอันตรายรบกวนชาวบ้าน (อมนุสสภัย) และเมื่อมีคนตายเพิ่มมากขึ้นก็ทำให้เกิดโรคระบาดแพร่กระจายไปทั่ว (โรคภัย) เป็นเหตุให้ชาวบ้านได้รับความทุกข์เดือดร้อน แม้จะพากันรวมตัวไปประท้วงร้องทุกข์ต่อพระเจ้าแผ่นดินก็ไม่สามารถแก้ไขได้ จึงคิดว่าน่าจะมีสาเหตุอย่างแน่นอน เพราะภัยทั้ง 3 นี้ ไม่เคยเกิดมา 7 ชั่วอายุคนแล้ว คนเดียวที่จะแก้ไขได้ คือ พระพุทธเจ้าเท่านั้น
ขณะนั้น พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ ชาวบ้านจึงพากันส่งเจ้าลิจฉวี ชื่อว่ามหาลิ และมหาอำมาตย์ไปนิมนต์พระพุทธเจ้า เพื่อขอพึ่งบุญบารมี
พระองค์ทรงเล็งเห็นว่า ชาวบ้านจะได้ดวงตาเห็นธรรมบรรลุมรรคผลเป็นอันมาก และภัยพิบัติทั้งหลายจะสงบลง จึงได้รับอาราธนาเสด็จไป
พระพุทธเจ้าทรงให้พระอานนท์เรียนเอารัตนสูตรน้อมระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัย นึกถึงพระพุทธคุณทั้งปวงของพระองค์ ตั้งแต่ปรารถนาพุทธภูมิเป็นต้นมา จนถึงการตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ แล้วสวดพระปริตรตลอดทั้งคืน ภัยพิบัติทั้งหลายก็สงบลงอย่างน่าอัศจรรย์
ต่อมาภายหลัง ได้กลายเป็นแบบอย่างในการทำน้ำพระพุทธมนต์ของพระสงฆ์ในปัจจุบัน เมื่อท่านสวดถึงบทว่า "นิพพันติ ธีรา ยะถายัมปะทีโป" ประธานสงฆ์จะดับเทียนน้ำมนต์ โดยการจุ่มเทียนลงไปในบาตรน้ำมนต์ มีความหมายว่า ขอให้โรคภัยความชั่วร้ายทั้งหลายทั้งปวง จงดับสูญสลายหายไปเหมือนเทียนเล่มนี้
บทสวดที่พุทธศาสนิกชนนิยมสวด เช่น คาถาพาหุง ว่าด้วยชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้า และคาถาชินบัญชร ของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) เป็นต้น บทสวดทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อเราตั้งใจสวดด้วยจิตที่เป็นกุศลและมีสมาธิกับการสวด ย่อมก่อให้เกิดพลานุภาพในการป้องกันภัยอันตรายต่างๆ อย่างปาฏิหารย์ ดัง ศาสตราจารย์พิเศษ เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต ได้กรุณาสรุปประสบการณ์และผลดีไว้ในหนังสือ "พระพุทธมนต์" ฉบับสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ดังนี้
ผลดีประการแรก ก็คือ ทำให้เกื้อกูลแก่สุขภาพร่างกาย ไม่ถึงกับเป็นยาบำรุงกำลัง แต่ผู้ที่สวดมนต์บ่อยๆ เปล่งเสียงดังๆ เต็มที่อย่างถูกต้องตามฐานกรณ์ (คือออกเสียงให้ถูกตามที่เกิดของเสียง หรือ "เอ็กเซ่น" ได้อย่างถูกต้อง) ระบบการหายใจย่อมจะเป็นไปตามธรรมชาติ โลหิตสูบฉีดเป็นปกติในร่างกาย ขับส่วนเสียในร่างกายออก สร้างเสริมส่วนที่บกพร่องให้คงคืนและดีขึ้น ทำให้สุขภาพร่างกายสมบูรณ์ดี
เสียงที่เปล่งออกแต่ละครั้ง ตามฐานกรณ์ของคำที่ถูกต้อง จะสร้างความสั่นสะเทือนในร่างกายเรา ความสั่นสะเทือนนี้ไปกระตุ้นต่อมที่กำลังจะเสีย หรือเสื่อมแล้ว ให้คงคืนสภาพ ทำให้เอื้อต่อสุขภาพร่างกาย ให้มีสุขภาพแข็งแรงขึ้น สวดบ่อยๆ อาจรักษาโรคบางอย่างให้หายได้ด้วย
เรื่องระบบเสียงใดของอักขระใด เกี่ยวข้องกับต่อมใด มีผลงานวิจัยฝรั่งบอกว่า อักขระแต่ละตัวมันเกี่ยวข้องกับต่อมใดบ้าง เมื่อถูกกระตุ้นบ่อยๆ ทำให้โรคที่จะเกิดเพราะต่อมนั้นๆ เสีย ไม่เกิดอย่างไรบ้าง น่าสนใจยิ่ง ทำให้นึกถึงเด็ก เมื่อผู้ใหญ่ร้อง "ฉี่ๆ ๆ" ก็จะปัสสาวะออกทันที ทั้งที่ไม่ปวด ทั้งนี้เพราะเสียง อี เอ ไอ เกี่ยวข้องกับระบบน้ำย่อย ดังนี้เป็นต้น
ถ้าเราสวดบทสวดที่มีเนื้อหาดีงามเป็นนิจศีล ดังพระสงฆ์สวดมนต์ทำวัตรทุกเช้าเย็น สุขภาพกายและสุขภาพจิตเราต้องดีแน่นอน และเสียงสวดมนต์นี้จะเป็น "พลัง" ที่คงอยู่ในตัวเรา ไม่ลบเลือนหายไปไหน
มีเรื่องหนึ่งที่ได้ทราบมาว่า เมื่อครั้งสมเด็จพระสังฆราช (วาสน์ วาสนมหาเถร) วัดราชบพิธฯ ทรงประชวรหนัก หมอต่อสายระโยงระยางไปหมด ชีพจรและการเต้นของหัวใจนั้นผิดปกติมากอย่างน่าเป็นห่วง แต่พอถึงเวลาประมาณ 5-6 โมงเย็น ทุกอย่างกลับเป็นปกติ เป็นอย่างนี้ทุกวัน ไม่มีใครทราบว่าเพราะเหตุใด จนกระทั่งพระเลขานุการส่วนพระองค์ระลึกได้ว่า เวลานี้เป็นเวลาที่สมเด็จพระสังฆราชสวดมนต์ในพระอุโบสถทุกวัน
ผลดีประการที่สอง คือ เป็นการสร้างสมาธิอย่างดี ไม่ต้องฝึกปฏิบัติสมาธิแบบอื่นก็ได้ เพียงสวดมนต์ดังๆ ทุกวันทุกคืนสม่ำเสมอเป็นนิจศีล ท่านจะอัศจรรย์ใจที่ได้พบว่าสมาธิของท่านดีวันดีคืนอย่างน่าประหลาด เมื่อจิตเป็นสมาธิจะทำงานอะไรก็ทำได้ดี และมีประสิทธิภาพ
ผลดีประการสุดท้าย คือ ถ้าเรารู้ความหมายของบทสวดด้วย จะทำให้เราเกิดศรัทธาปสาทะในพระรัตนตรัย และศีลธรรมจริยธรรมเพิ่มขึ้น โปรดรำลึกว่า บทสวดมนต์ไม่มีพูดถึงเรื่องที่เลวร้าย ไม่สอนให้อิจฉาริษยาใคร สาปแช่งใคร ตรงกันข้าม กลับสอนให้แผ่เมตตาจิต ความรักความปรารถนาดีไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย การสวดมนต์บ่อยๆ จึงเป็นการ "ยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น สะอาดขึ้น" โดยไม่รู้ตัว
นี่คือผลดีแห่งการสวดมนต์อย่างมีคุณค่าและความหมาย
ในการสวดมนต์นั้นย่อมส่งผลได้ไกลถึงความหลุดพ้น อันเป็นเป้าหมายสูงสุดของพุทธศาสนา และเกิดการเปลี่ยนแปลงต่อวิถีชีวิต ช่วยทำให้จิตใจสดชื่นเบิกบาน และมีอานุภาพในการป้องกันรักษาดังกล่าวมาแล้ว ผู้รู้ทั้งหลายในสมัยโบราณจึงได้ทำวัตรสวดมนต์สืบมามิได้ขาด ทำเป็นประจำทุกวัน ทุกเช้า-เย็น จนกลายเป็นความเคยชิน เรียกการกระทำนี้ว่า "การทำวัตร"
ฉะนั้น ชาวพุทธไทยจึงควรทำวัตรสวดมนต์ทุกวัน ให้สวดด้วยใจที่แช่มชื่น เบิกบาน ด้วยความเคารพเลื่อมใสในพระรัตนตรัยเป็นที่ตั้ง การสวดมนต์อย่างนี้ จึงจะเรียกว่า เกิดประโยชน์และมีอานิสงส์อย่างแท้จริง
เมื่อสวดมนต์ เสร็จแล้ว ควรทำสมาธิต่อพอสมควรแก่เวลา หรือหากมีเวลามาก ควรเดินจงกรมและนั่งสมาธิ เพื่อเพิ่มบุญกุศลให้แก่ตัวเองยิ่งขึ้นไป ทำให้ต่อเนื่อง ทั้งการสวดมนต์ เดินจงกรม นั่งสมาธิ ก่อนนอนทุกวัน
เสร็จแล้วแผ่เมตตาให้แก่ตนเอง และทั่วไป พร้อมกับเพิ่มบทสำคัญที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ (นิยม ฐานิสฺสโร) เจ้าอาวาสวัดชนะสงคราม ใช้นำพระภิกษุสามเณร อุบาสกอุบาสิกา และประชาชนทั่วไปเป็นประจำทุกวัน ว่าดังนี้
"อนึ่ง, ขอให้ชาติไทย, พระพุทธศาสนา, พระมหากษัตริย์, จงยืนยงดำรงมั่น, เป็นหลักชัยของไทย, ปราศจากภัยพิบัติ, อุปัทวันตรายทั้งสิ้น
" ขอให้ประชาชน บนผืนแผ่นดินไทย, ผู้สุจริตใจประกอบกิจ, จงอยู่เย็นเป็นสุข, ปราศจากความอยู่ร้อนนอนทุกข์, จงมั่งมีศรีสุข, พ้นจากความยากจนเข็ญใจ, ปราศจากภัยพิบัติ, อุปัทวันตรายทั้งปวงเทอญ"
ถ้าทำได้อย่างนี้ นับวันจะมีความเจริญรุ่งเรืองในพระศาสนา จะมีอานุภาพมากมาย เป็นบุญวาสนาของผู้ได้เข้าใกล้ได้พบเห็นอีกด้วย
เหตุ นั้น การทำวัตรสวดมนต์จึงต้องทำอย่างต่อเนื่อง ด้วยความเคารพทุกเช้าค่ำ และต้องทำอยู่ตลอดเวลา ทำให้อยู่ในใจเราเสมอ ทำให้รู้สึกว่าขาดสวดมนต์ไม่ได้ จนกลายเป็นกิจวัตรประจำวัน
การสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิทุกคน ก็นึกถึงพระสงฆ์องค์เจ้าทั้งหลายที่อยู่ตามวัดวาอารามหรือผู้ปฏิบัติธรรมเท่านั้น จริงๆ แล้วการสวดมนต์ไหว้พระควรเป็นข้อปฏิบัติประจำของเหล่าชาวพุทธทั้งหลาย โดยเฉพาะการสวดมนต์ไหว้พระในวันวันธรรมสวนะ หรือวันพระหากเราพิจารณาความสำคัญของการสวดมนต์โดยเปรียบเทียบกับทุกศาสนาเราจะพบว่ามีปฏิบัติกันถ้วนหน้าทีเดียวชาวคริสต์ต้องเข้าโบสถ์สวดมนต์
ทุกวันอาทิตย์อิสลามิกชนก็จะมีการสวดมนต์ทุกวันสำคัญ และมีการละหมาดวันละ 6 เวลาทีเดียวเบื้องต้นน่าจะเห็นพ้องต้องกันว่าการสวดมนต์เป็นสิ่งที่ดีแต่คำถามที่มักจะได้ยินเสมอว่าก็คือ ดีอย่างไร
หากเรามองย้อนไปในอดีตตอนพวกเราๆ เป็นเด็ก จะพบว่าในรุ่นปู่ย่า ตายายของเราแทบจะทุกคนที่จะไปวัดเพื่อสวดมนต์ ไหว้พระในวันพระเสมอและยังมีการสวดมนต์ที่ค่อนข้างยาวทีเดียวก่อนนอนทุกวัน
หลายผู้อาจจะไปนั่งพนมมือด้วย หลายผู้ก็นอนฟังแล้วก็หลับไปหลายผู้อาจถูกปลูกฝั่งให้ปฏิบัติเอาเยี่ยงบ้างก็มีผมเคยถามท่านทั้งหลายในรุ่นนั้นว่าสวดมนต์ ไหว้พระแล้วได้อะไร ก็มักจะได้คำตอบว่า “ มันดี ”ทำให้ชีวิตดีหรือชีวิตมีสิริมงคล หรือจะได้มีคุณพระคุณเจ้าคุ้มครอง หรือ อีกเหตุผลอีกหลายประการซึ่งฟังแล้วไม่เป็นรูปธรรม จับต้องไม่ได้ คือเข้าใจยากนั่นแหละคนสมัยนี้ชอบใช้เหตุผลที่ค่อนข้างเป็นวิทยาศาสตร์เสียด้วย
ทำให้มรดกพุทธศาสนา ( สวดมนต์ ไหว้พระ)จึงไม่ได้รับการสืบทอดและเป็นที่นิยมกันในคนรุ่นปัจจุบัน
บวรธรรมสถานเป็นอีกสำนักหนึ่งที่มุ่งเน้น สั่งสอนให้ลูกศิษย์สวดมนต์ ไหว้พระ นั่งสมาธิแผ่เมตตา
ทุกวันพระและให้สวดมนต์ก่อนนอนโดยให้เป็นกิจปฏิบัติที่สำคัญลำดับต้นๆเลยทีเดียว แม้ว่าการสวดนั้นจะสวดได้แบบปากเปล่าหรือจะต้องดูหนังสือสวดก็ตามสำคัญอยู่ที่การสวดมนต์นั้นต้องอยู่บนพื้นฐานของความตั้งใจจริง มีสมาธิที่ดีนำจิตไปจับที่ตัวอักษรที่จะสวดออกมาอย่างจดจ่อ เปล่งเสียงให้ดังฟังชัดเจน
โดยครูบาอาจารย์ได้อรรถาธิบายความถึงอานิสงส์ของการสวดมนต์ไว้ ดังนี้
1. อานิสงส์ที่เกิดกับสุขภาพร่างกาย
ผู้ที่นิยมสวดมนต์ ไหว้พระ นั่งสมาธิสม่ำเสมอจะก่อให้เกิดผลดีต่อจิตยิ่งจะมีความผ่องแผ้วสว่างบริสุทธิ์ จิตที่สว่างจะทำให้อารมณ์ผ่องใส ไม่โกรธง่ายไม่เครียด แม้ถ้าจะต้องใช้ความคิดก็จะคิดแบบมีเหตุมีผลการที่จิตผ่องแผ้วถือเป็นโอสถทิพย์ที่สำคัญต่อร่างกายที่เดียวส่งผลให้ร่างกายสร้างและหลั่งฮอร์โมนในร่างกายที่เป็นปกติ ทำให้ร่างกายสมดุลเมื่อร่ายกายสมดุลบุคคลนั้นจะอายุยืน คนที่มีอารมณ์ดี ไม่เครียดจะอายุยืนยาวเช่นพระสงฆ์ที่ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเป็นสรณะจะอายุยืนบางองค์เกินร้อยปีก็มีหรือคนโบราณที่ชอบสวดมนต์ไหว้พระจะอายุยืนยาวมากไม่มีต่ำกว่าแปดสิบปี ซึ่งต่างจากคนสมัยปัจจุบันที่แก่เร็วอายุสั้น เฉลี่ยแล้วไม่เกินหกสิบห้า หรือ อย่างมากก็เจ็ดสิบปี การมีจิตที่ผ่องใสเสมือนหนึ่งมียาอายุวัฒนะขนานเอกไว้ในตัวเอง ลักษณะนี้ ครูบาอาจารย์ท่านให้เรียกว่า“ การนำปัจจัยภายในมาสร้างอายุวัฒนะ”
2. อานิสงส์ให้เกิดจิตที่แกร่ง
หลังการสวดมนต์ไหว้พระและนั่งสมาธิ จะทำให้จิตมีกำลัง เป็นการบำรุงจิตจิตที่มีกำลังจะเข้มแข็ง ไม่อ่อนไหวง่าย สติดี หนักแน่นการมีจิตเป็นสมาธิสติจะคงอยู่เสมอ จะก่อให้เกิดปัญญาตามมา ปัญญาหมายถึงระบบการคิดที่มีสติคอยกำกับการคิดจึงอยู่บนพื้นฐานของเหตุและผลไม่มีอารมณ์เข้ามาเจือปน ส่วนความคิดที่ขาดสติเราเรียกว่า “อารมณ์” คนสมัยใหม่ที่ไม่นิยมนั่งสมาธิ ส่งผลให้สติไม่มั่นคงโกรธง่าย โมโหร้าย ขี้หงุดหงิด ไม่อดทนต่อแรงกดดันทั้งปวงมีอารมณ์แปรปรวนไม่สม่ำเสมอ เหตุเพราะจิตมีอ่อนกำลังเราจึงพบว่าสถิติการฆ่าตัวตายของคนสมัยนี้ จึงมีอัตราที่สูงขึ้นเรื่อยๆ เป็นต้นรูปธรรมข้างต้นเหล่านี้คงจะพอแสดงให้เห็นถึงความต่างระหว่างจิตสองลักษณะคือจิตแกร่งกับจิตอ่อนได้เป็นอย่างดีให้เปรียบเทียบง่ายๆ ว่าการที่เราต้องรับประทานข้าวปลาอาหารเพราะอาหารเป็นสิ่งที่มีความสำคัญกับชีวิตฉันใดก็ฉันนั้น สมาธิก็จะเป็นอาหารที่สำคัญของจิต เช่นกัน
3. ได้อานิสงส์จากการได้โปรดดวงจิตวิญญาณ
ผู้ที่สวดมนต์ไหว้พระนั่งสมาธิถึงขั้นเป็นผู้มีจิตใสสว่างนั้นเป็นที่โปรดปรานของพวกวิญญาณเร่ร่อนยิ่งนัก เพื่อปรารถนาจะขอส่วนบุญส่วนกุศลให้ตนได้ร่มเย็น หรือพ้นทุกข์ หรือแม้กระทั่งหลุดพ้นจากการถูกจองจำโดยปกติบทสวดมนต์จะมีความขลังอยู่ในตัวเพราะ เป็นอักขระภาษาที่มีมนต์ขลังบางบทเป็นพระคาถาที่มีอานุภาพสูง โดยเฉพาะบทพุทธบารมี บทพระคาถาชินบัญชรมีอานุภาพสูง ยิ่งผู้สวดมีสมาธิจิตที่ดีแล้ว พลังแห่งเมตตาพลังแห่งอานุภาพจะแผ่กระจายปกคลุมไปไกล ด้วยอานุภาพของพลังจิตผู้สวดเองเมื่อเสียงสวดและอักขระไปกระทบ หรือสัมผัสกับดวงจิตวิญญาณใดพลังเมตตาและพลานุภาพแห่งมนตรานี้จะกระตุ้นให้ดวงจิตวิญญาณเกิดความระลึกได้เมื่อระลึกได้ก็จะสามารถดูดซับพลังบารมีทั้งปวงจากบทสวดอย่างเต็มที่ดวงจิตที่มืดบอดก็จะสว่างผ่องใสขึ้นและหลุดพ้นจากบ่วงพันธนาการในที่สุดสภาพโดยธรรมชาติของวิญญาณทั้งหลายนั้น พวกเขาจะถูกจำกัดหรือถูกควบคุมพื้นที่เสมือนถูกจองจำ ตีตรวน เหมือนนักโทษที่ติดอยู่ในคุกบางคนก็สำนึกได้เอง บางคนต้องได้รับการอบรมสั่งสอนก่อนจึงจะเกิดสำนึกเช่นกันดวงวิญญาณหลายดวงเกิดสำนึกในความดี ความชั่วที่ตนได้กระทำได้เองเมื่อสำนึกได้ก็จะสามารถเปิดรับธรรมะได้เลยทันที การสำนึกได้เป็นสิ่งสำคัญยิ่งดังที่คนโบราณได้สั่งสอนบอกต่อกันมาว่า ก่อนตายให้นึกถึงพระ ความหมายนี้ก็คือให้เกิดรู้สำนึกนั่นเอง แม้ถ้าคนเราสำนึกได้ในวินาทีสุดท้ายขณะใกล้จะตายก็ถือว่ามีโอกาสที่จะรับรู้สัมผัสธรรมได้ ( จิตเปิด) มีโอกาสหลุดพ้น(จากการจำกัดบริเวณ )ได้และภาษาอักขระในบทสวดดวงจิตวิญญาณสามารถก็สามารถเข้าถึงได้ให้ดวงจิตวิญญาณเข้าใจได้ ก่อให้เกิดความกระจ่างได้และยิ่งเมื่อเราแผ่เมตตาตามอีกเขาก็จะได้อานิสงส์มากยิ่งขึ้นดวงจิตวิญญาณเหล่านั้นชุ่มเย็นเป็นสุขเสมือนเรานำน้ำที่เย็นชโลมรดให้กับผู้ที่หิวกระหายลุ่มร้อนมานานปี จนสุดท้ายก็จะสามารถหลุดพ้นไปได้การที่เราทำให้วิญญาณตกทุกข์ได้ยาก
ทุกข์ทรมาน ได้รับความสุข สว่างสดใส หรือกระทั่งหลุดพ้นไปได้ นับว่าได้อานิสงส์มหาศาลทีเดียวสภาพความจริงในภพแห่งวิญญาณนั้น ถ้ามนุษย์มองเห็นก็จะพบว่ามีวิญญาณเร่ร่อน (สัมภเวสี )จำนวนมากมายทีเดียวมีทุกหนทุกแห่ง เช่นคนมีจิตสว่างางคนไปนอนที่ไหนก็จะมีวิญญาณมาดึง มาปลุก มาทำให้ไม่สามารถนอนได้ปรากฏการณ์เช่นนี้ให้ท่านเข้าใจเป็นเบื้องต้นว่า เขามาขอส่วนบุญเขาเห็นจิตของท่านที่สว่าง แสดงว่าท่านเป็นมีบุญที่สามารถแผ่ให้กับเขาได้ อย่าตกใจอย่ากลัวให้ถือว่าเป็นโอกาสที่ดี วิธีปฏิบัติก็คือ สวดมนต์ แผ่เมตตาให้เขาเสียแล้วท่านจะนอนหลับฝันดี เขาจะเฝ้าดูแลท่านตลอดทั้งคืนบางที่อาจให้โชคลาภกับท่านเสียอีก สถานที่บางแห่งวิญญาณอยู่กันเหมือนตัวหนอนเหมือนฝูงแมลงวัน ยิ่งดวงวิญญาณอยู่กันมากมายเช่นนี้ผู้สวดมนต์ แผ่เมตตาภาวนาสมาธิให้ ก็จะได้อานิสงส์มากเท่าทวีคูณ การสวดมนต์ที่แท้ก็คือการแผ่เมตตานั่นเอง
การทำจิตให้นิ่งเป็นสมาธิบ่อยๆเสมือนเราอยู่ในที่สูง อานิสงส์ที่เราสร้างบุญกุศลที่เราทำจะเปรียบเสมือนเราเทน้ำให้ไหลลงสู่เบื้องล่างผู้อยู่เบื้องล่างที่หิว กระหายก็จะรอรับอย่างชุ่มเย็น มีความปีติยินดี
4. ได้อานิสงส์จากโปรดสรรพสัตว์ทั้งหลาย
นอกจากดวงจิตวิญญาณแล้วยังมีอีกกลุ่มหนึ่งที่ปรารถนาจะได้รับพลังเมตตาบารมีจากการสวดมนต์ไหว้พระและนั่งสมาธิเช่นกัน ซึ่งก็คือพวกสัตว์เล็ก สัตว์น้อยสรรพสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นนั่นแหละ พลังแห่งการแผ่เมตตาบารมีนี้มีอานุภาพยิ่งใหญ่เป็นพลังแห่งพุทธานุภาพ เป็นพลังฝ่ายบุญกุศล การสวดมนต์ ไหว้พระนั่งสมาธิและแผ่เมตตาบ่อยๆ จะทำให้จิตมีความแข็งแกร่งพลังแห่งการแผ่เมตตาก็จะมีอานุภาพที่แรงครอบคลุมพื้นที่ได้กว้างขวางยิ่งขึ้นนั่นย่อมหมายถึงไปสู่สรรพสัตว์มากจำนวนยิ่งขึ้นตามเบื้องต้นสามารถพิสูจน์ได้จริงไม่ว่ามด ยุง แมลง ฯลฯ ล้วนต้องการ และแสวงหาพลานุภาพแห่งเมตตาอย่างหิวโหยจริงเช่นผู้ปฏิบัติธรรมบางคนพบว่ามีมดขึ้นมาเกาะบนกลดขณะที่ท่านกำลังที่ภาวนาอยู่จำนวนมากหรือมียุงมากัดจำนวนมากขณะนั่งสมาธิ แต่เมื่อท่านกล่าวแผ่เมตตาให้แล้วพวกเขาเหล่านั้นก็จะจากไปของเขาเอง ไม่ทำร้ายไม่รบกวนเราอีกเหตุเพราะพวกเขาได้รับแล้วนั่นเองลักษณะเช่นนี้จะเป็นเรื่องเดียวกันกับที่ครูบาอาจารย์ที่กล่าวไว้ว่า พวกมด ยุง แมลงนั้นพวกเราสามารถพูดกับเขาได้นั่นเองเมื่อเราทำให้สรรพสัตว์ทั้งหลายที่ได้ทุกข์หลุดพ้นจากทุกข์ช่วยให้สรรพสัตว์ที่ได้สุข ให้ได้สุขยิ่งๆขึ้นไป เราก็ได้อานิสงส์แห่งการนี้ตอบคืนอานิสงส์เช่นนี้ เป็นอานิสงส์ที่ก่อให้เกิดบารมีที่ยิ่งใหญ่มากทีเดียว เราเรียกว่า“ อานิสงส์ทางทิพย์”
5. ได้อานิสงส์จากพรเทวดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ทุกครั้งที่เราสวดมนต์ หลังจากสวดบทบูชาพระรัตนตรัยแล้วเราก็มักจะสวดบทชุมนุมอัญเชิญเทวดาเสมอ (สักเคฯ)เป็นการบอกกล่าวอัญเชิญเทวดาให้มาร่วมพิธีการสวดมนต์ เทวดาเทพเทพารักษ์ทั้งหลายโปรดการฟังสวดมนต์มากเพราะถือเป็นพิธีกรรมแห่งพุทธที่มีมนต์ขลังมีความศักดิ์สิทธิ์ ดังที่ได้เรียนไปแล้วบทสวดทุกบทเป็นอักขระ มีพลังพุทธานุภาพสูงใครได้ยินได้ฟังได้ซึมซับก็จะเกิดความสว่างไสว เกิดพลังบารมีมนุษย์ที่สวดมนต์ไหว้พระประจำเทวดา จึงเป็นที่โปรดปรานของเทวดาไปที่ไหนมีเทวดาปกป้องคุ้มครองให้โชคให้ลาภให้ความมั่งมีสีสุขคนโบราณจึงย้ำหนักหนาให้ลูกหลานสวดมนต์ก่อนนอนนี่คือความหมายที่แท้จริงของการสวดมนต์ก่อนนอนเทวดาก็ต้องการสร้างบารมีของตนให้สูงยิ่งๆ ขึ้นไปเช่นกัน เมื่อเราสวดมนต์ ไหว้พระแผ่เมตตา ทำให้เทวดาได้บารมีเพิ่ม ได้ความสว่างเพิ่มเทวดาก็จะอำนวยอวยพรชัยมงคลให้กับเรา เป็นการตอบแทนคุณเรา หากเราสังเกตให้ดีเราจะพบว่า ทุกพิธีกรรมทางพุทธศาสนาตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบันจะต้องเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับเทวดาเสมอ ก่อนเริ่มพิธีกรรมจึงต้องมีการสวดบวงสรวงอัญเชิญทวยเทพเทวดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาร่วมพิธีก่อนเสมอ พุทธองค์ทรงสำเร็จมรรคผลด้วยทวยเทพเทวดาช่วยเหลือ ชี้แนะ ในทางกลับกันเทวดาก็พึ่งพาธรรมจากพุทธองค์ หรือพุทธสาวกเพื่อสร้างบารมี ชี้ทางสว่างเสมือนน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าองค์ทวยเทพเทวากับพุทธศาสนาจึงแยกกันไม่ออก เป็นของคู่กัน
6. สามารถแผ่เมตตาช่วยคนเจ็บป่วยได้
อานิสงส์การแผ่เมตตานั้น นอกจากสรรพสัตว์และดวงวิญญาณทั้งหลายแล้วมนุษย์ทั่วไปที่นอนเจ็บป่วยทนทุกข์ทรมานก็สามารถรับอานิสงส์ของการแผ่เมตตาได้โดยให้เรากล่าวว่า ดังนี้“ อานิสงส์ของการสวดมนต์ ไหว้พระนั่งสมาธิ ของข้าพเจ้าในวันนี้ ขอส่งให้ (ชื่อ-สกุล ผู้ป่วย)”เพียงเท่านี้เองก็จะก่อให้เกิดผลดีต่อผู้ป่วยมหาศาลโดยเฉพาะผู้แผ่เมตตาเป็นผู้บุญบารมีมากยิ่งก่อให้เกิดผลเร็วขึ้นโดยมาตรฐานที่จะให้เกิดผลสมบูรณ์ ให้ทำติดต่อกัน 33 วันสภาพร่างกายและอำนาจจิตของผู้ป่วยก็จะดีขึ้นอย่างชัดเจนแม้บางรายสังขารจะไม่ดีก็ตาม ความทุกข์ทรมานจะลดลงจิตจะดีคนเราเมื่อจิตดีก็มีความสุข อย่างไรก็ดีต้องทำความเข้าใจหลักของเวรกรรมแต่ละคนด้วย (ผู้ป่วย) ผู้ป่วยบางรายอาจจะยกเว้นไม่เป็นไปตามมาตรฐานนี้อันเนื่องจากอยู่ในภาวะชดใช้กรรมของเขาเองและอีกประการหนึ่งให้เข้าใจในเรื่องวิถีจิตของผู้ป่วยต้องเปิดด้วยถ้าจิตปิดก็รับไม่ได้แต่หากผู้ป่วยเป็นผู้ปฏิบัติธรรมแล้วก็จะยิ่งเกิดผลเร็วทันตาเห็น ใช้เวลาเพียง 16 ถึง 24 วันเท่านั้นก็เพียงพอ นั้นหมายถึงเขาเปิดประตูจิตไว้รออยู่แล้วนั่นเองอย่างไรก็ตาม ความเป็นสายเลือดสายโลหิตระหว่างผู้แผ่อานิสงส์และผู้ป่วยก็เป็นข้อยกเว้นพิเศษอีกเช่นกันเพราะความเป็นสายเลือดการส่งอานิสงส์บุญกุศลจะยิ่งรวดเร็วที่สุดเกิดอานุภาพแรงที่สุดเช่นกัน
ดังกล่าวมาข้างต้นคงพอจะทำให้ทุกท่านเข้าใจ เรื่อง อานิสงส์ หรือ ประโยชน์ที่จะรับจากการสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิ ตลอดจนการแผ่เมตตาเป็นอย่างดีแล้วอย่างไรก็ดีนี่เป็นเพียงประโยชน์เบื้องต้นเท่านั้น
ความจริงแล้วมีอานิสงส์ที่จะได้รับทางอ้อมทางลึกอีกมากมายกว่านี้นักแต่เป็น“ ปัจจัตตัง”ของแต่ละคนไป
การอ่านบรรยายข้างต้นเชื่อว่าสามารถทำให้ท่านเข้าใจได้แต่จะให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งท่านต้องปฏิบัติเอง
ธรรมะคำสั่งสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีเครื่องมือชนิดใดสามารถมาวัดประสิทธิภาพวัดความจริงได้เป็นเรื่องเหนือวิทยาศาสตร์ ต้องวัดผลด้วยการปฏิบัติเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น